โลกร้อนระอุ จับตาปี 2568 สัญญาณหายนะภัยพิบัติ แล้งสุดๆ พายุรุนแรงมากขึ้น

ทั่วโลกไม่พ้นจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ รวมถึงประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงสุดถึง 45 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูร้อน และปี 2568 นี้มีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เนื่องจากปี 2567 ที่ผ่านมาเป็นเป็นปีที่โลก มีการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จากฟอสซิลสู่บรรยากาศโลกสูงที่สุดและเป็นครั้งแรกที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส มากกว่าปี 2566 อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น 1.48 องศาเซลเซียส

รายงานขององค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2561 ระบุว่านักวิทยาศาสตร์และผู้ตรวจสอบรัฐบาลหลายพันคนเห็นพ้องกันว่าการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดและรักษาสภาพอากาศที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตเอาไว้ได้

แต่แผนว่าด้วยสภาพอากาศระดับชาติฉบับปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าภาวะโลกร้อน มีแนวโน้มที่จะแตะ 2.7องศาเซลเซียสในปลายศตวรรษนี้ เป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์โดยส่วนใหญ่ สาเหตุหลักมาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก มีลักษณะเหมือนผ้าห่มคลุมโลกไว้ ทำให้ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ไม่สามารถระบายออก จนทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น

เอลนีโญ มาต้นมี.ค. ไทยเดือด อุณหภูมิสูงขึ้น ร้อนสุดๆ

แล้วปี 2568 จะเกิดอะไรขึ้น? กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก “ดร.สนธิ คชวัฒน์” ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ระบุว่า องค์กรอุตุนิยมวิทยาโลกคาดการณ์ว่าสภาวะลานีญา จะยังมีอิทธิพลในพื้นที่เอเชีย ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ก่อให้เกิดฝนตกในพื้นที่เอเชียใต้และพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้อากาศเย็นลง ก่อนที่ลานีญา จะเริ่มอ่อนกำลังลง เริ่มเข้าสู่สภาวะเอลนีโญ ระดับต่ำถึงระดับปานกลาง ประมาณ 55% ในช่วงต้นเดือนมีนาคม อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน 2568

“คาดว่าในปี 2568 ประเทศในแถบเอเซียจะมีอุณหภูมิสูงสุดในรอบทศวรรษทศวรรษโดยเฉพาะประเทศที่อยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรจะประสบสภาวะแห้งแล้งมากกว่าสภาวะปกติ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของความชื้นและลม คาดว่าประเทศไทย จะมีอุณหภูมิสูงสุดถึง 45 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูร้อนโดยสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

ในปี 2567 ที่ผ่านมาเป็นเป็นปีที่โลกมีการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากฟอสซิลสู่บรรยากาศโลกสูงที่สุดและเป็นครั้งแรกที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส จากก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยมีอุณหภูมิสูงกว่า 1.55 องศาเซลเซียส เปรียบเทียบกับอุณหภูมิของโลกในปี 2566 ซึ่งมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1.48 องศาเซลเซียส จากก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

ขณะที่โลกตั้งเป้าไว้ไม่ให้อุณหภูมิของโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสในปี 2030 หรือพ.ศ. 2573 ซึ่งทำไม่ได้ตามเป้าหมาย และได้ตั้งเป้าให้เป็น Net Zero หรือไม่ให้มีการปล่อยแก๊สเรือนกระจกในปี 2050 หรือ พ.ศ. 2593 คาดว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะประสบภาวะภัยพิบัติเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำใช้ในการเกษตรกรรม รวมทั้งมีพายุที่มีความถี่และรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูฝน ส่วนฤดูหนาวจะหนาวน้อยลงและสั้นลงกว่าปี 2567

นโยบายทรัมป์ ภัยพิบัติโลกรุนแรงมากขึ้น เห็นชัดปี 2569

กรณีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2568 มีนโยบาย American First และมีแนวคิดจะประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการกำหนดให้มีการขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและผลิตน้ำมันจากฟอสซิลเพิ่มขึ้น ให้มีการถลุงเหล็กมากขึ้น และจะผ่อนปรนข้อจำกัดในการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าและยานพาหนะ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่ควบคุมมลพิษต่างๆ เช่น การควบคุมก๊าซมีเทนที่อ่อนแอลง เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้จะทำให้การปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในประเทศสหรัฐฯ สู่บรรยากาศโลกมากขึ้น จนอาจเป็นอันดับสูงสุดของโลก จากเคยเป็นอันดับที่ 2 และจะทำให้เป้าหมายในการลดแก๊สเรือนกระจกของโลกไม่ประสบความสำเร็จ และภัยพิบัติของโลกจะรุนแรงมากขึ้นโดยจะเห็นผลได้ชัดเจนในปี 2569

มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนจากสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง โดยการจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้านำเข้า ได้แก่ ปูนซีเมนต์ เหล็ก อลูมิเนียม ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน โดยในวันที่ 1 มกราคม 2569 จะเริ่มเก็บจริง หลังจากนั้นอัตราจะค่อยๆปรับเพิ่มขึ้นเป็น100% ในช่วงปี 2573-2578 และเก็บภาษี 100% ทุกประเภทอุตสาหกรรมภายในปี 2578

“ปี 2568 อาจจะส่งผลกระทบกับสินค้าไทย ทำให้ราคาขายสินค้าจากไทยไปสหภาพยุโรปแพงขึ้น การส่งสินค้าไปสหภาพยุโรปได้น้อยลง กระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าของไทย และประเทศไทยต้องปรับตัวในการลดคาร์บอนให้เท่ากับมาตรการของยุโรปไม่เช่นนั้นจะขายสินค้าไม่ได้”.