อัตราการเพิ่มของประชากรไทยติดลบเป็นปีที่ 4 แล้ว เพราะเด็กเกิดน้อยกว่าคนตาย จากสถิติสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่าเด็กไทยเกิดในปี 2567 มีจำนวน 461,421 คน เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี แนวโน้มจำนวนเด็กเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้มี “ลูกเพื่อชาติ”
รศ.ดร. จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ประเทศไทยเคยมีเด็กเกิดเกิน 1 ล้านคนต่อปีในช่วงปี 2506-2526 และเคยมีเด็กเกิดจำนวนสูงสุดในปี 2514 มากถึง 1,221,228 คน ตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดในประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนมีจำนวนเด็กเกิดต่ำ 6 แสนคนตั้งแต่ปี 2562 จำนวนเด็กเกิดได้ลดลงต่ำลงมาอีก จนในปี 2567 เด็กเกิดในประเทศไทยได้ลดลงมาต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นปีแรก
สถานการณ์เด็กเกิดน้อย เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากร โดยจะเร่งการสูงวัยของประชากรไทยให้เร็วขึ้น จำนวนเด็กเกิดที่ลดลงอย่างมากนี้ ทำให้อัตราส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้น ประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมสูงวัยเมื่อปี 2548 คือมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด จากนั้นประเทศไทยใช้เวลาอีกเพียงไม่ถึง 20 ปี จนกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2567 (อัตราส่วนผู้สูงอายุเกินกว่า 20 %ของประชากรทั้งหมด)
“คนไทยเห็นด้วย เด็กเกิดน้อยเป็นวิกฤติของประเทศ”
สถาบันวิจัยประชากรและสังคมได้สำรวจความเห็นประชาชนไทยจำนวน 1,042 คน เพื่อสอบถามความคิดเห็นในประเด็น “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – เดือนธันวาคม 2567 พบว่า 71% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นด้วยว่าจำนวนเด็กเกิดน้อยเป็นวิกฤติของประเทศ 44% เห็นด้วยกับนโยบายส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น และมีผู้หญิงเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เห็นด้วยว่า จะมีลูกถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมจะมีลูก สัดส่วนผู้ชายตอบว่าจะมีลูกถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมมากกว่าผู้หญิง (ชาย 60% ต่อ หญิง 53%)
ประชาชนที่อยู่ในสถานะสมรส ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด มีเพียง 39% ที่ตัดสินใจมีลูกอย่างแน่นอน ส่วนอีก 30% คิดว่าอาจจะตัดสินใจมีลูก และ 20% จะไม่มีลูก แบบสำรวจถามด้วยว่า ถ้าท่านมีคู่รักหรือมีคู่แต่งงานแล้ว ยังมีสุขภาพแข็งแรง และอยู่ในวัยที่มีลูกได้ พบว่า 53% ตอบว่าจะมีลูก โดยเจนเนอเรชัน X ขึ้นไปมีสัดส่วนมากที่สุด 60% รองลงมาคือ เจนเนอเรชัน Z 55% และ Y 44% ตามลำดับ
ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจมีลูกมีความแตกต่างกันระหว่างเจนเนอเรชัน โดยกลุ่มเจนเนอเรชัน X มีแนวโน้มที่จะมีลูกสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ขณะที่เจนเนอเรชัน Y มีสัดส่วนความตั้งใจมีลูกต่ำที่สุด ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจดังกล่าว อาจรวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ค่านิยมของแต่ละช่วงวัย และปัจจัยทางสังคมอื่นๆ เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการทำงานและการเลี้ยงดูบุตร
การที่ประชากรเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่อยู่ในสถานะสมรส (36%) ยืนยันว่าจะมีลูก อาจเป็นสัญญาณที่แสดงถึงแนวโน้มอัตราเกิดที่ลดลง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณา หากรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้มีจำนวนเด็กเกิดเพิ่มขึ้น โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พยายามผลักดันให้มีนโยบายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปีแบบถ้วนหน้า
แทนการสงเคราะห์เฉพาะผู้ปกครองในครัวเรือนรายได้น้อย มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อปี) ได้รับเงินอุดหนุนฯในปัจจุบัน ในอัตรา 600 บาท ต่อคนต่อเดือน ส่วนผู้ประกันตนจะได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในอัตรา 800 ต่อคนต่อเดือน ขณะที่มาตรา 40 ได้เงินอุดหนุน 200 บาทต่อคนต่อเดือน

แค่เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ไม่น่าทำให้คนไทย มีลูกเพิ่มขึ้น
ผลการสำรวจความเห็นประชาชนไทยพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น ( 49%) ที่เห็นด้วยว่าเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจะช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะทำให้คนไทยมีลูกเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล
การเกิดที่วัดด้วยอัตราเจริญพันธุ์รวม ซึ่งหมายถึง จำนวนลูกเฉลี่ยที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีตลอดวัยเจริญพันธุ์ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ต่ำกว่า 2.1 คน โดยจำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่าระดับทดแทนพ่อและแม่ ซึ่งปัจจุบันประเทศในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน รวมทั้งประเทศไทยมีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำมาก โดยไทยประมาณ 1.03
รัฐบาลในหลายประเทศ มีความพยายามจะสนับสนุนให้ประชากรของตนมีลูกเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้อัตราเจริญพันธุ์รวมของประเทศเพิ่มขึ้นได้มากนัก ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา สิงคโปร์ได้ดำเนินการมาตรการทางภาษีและเงินอุดหนุนหรือสมทบ นโยบายควบคุมและส่งเสริมการเกิดพิจารณาตามลำดับที่บุตร บริการหาคู่ นอกจากนี้ รัฐบาลยังตระหนักถึงสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจมีบุตรและการดูแลบุตร จึงสนับสนุนโครงการสมดุลชีวิตกับงาน (work-life balance) การเพิ่มจำนวนและคุณภาพของสถานเลี้ยงเด็ก
อัตราเจริญพันธุ์รวมของสิงคโปร์ลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีมาตรการส่งเสริมการเกิดหลายอย่าง แต่อัตราเจริญพันธุ์รวมของสิงคโปร์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเหลือเพียง 0.94 เท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะความกดดันทางเศรษฐกิจ ภาวะความเครียด วิถีชีวิตที่เร่งรีบ การเสียโอกาสการทำงานของแม่ และที่สำคัญคือค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงมากจนความช่วยเหลือที่รัฐบาลสนับสนุนไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ เกาหลีใต้เป็นอีกประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำที่สุดในโลก 0.72 และได้กลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (super-aged society) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด สถานการณ์ทางประชากรนี้ ทำให้ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ได้เสนอแนวคิดในการจัดตั้งกระทรวงใหม่เพื่อการวางแผนและรับมือกับวิกฤตประชากรที่กำลังทวีความรุนแรง
เด็กเกิดน้อย ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศ
จากข้อมูลที่สำรวจ “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความท้าทายในการมีเด็กเกิดน้อยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศ แต่การตัดสินใจที่จะมีลูกยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น สถานภาพทางเศรษฐกิจ ความพร้อมทางสุขภาพ และบทบาททางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีความลังเลมากกว่า
แม้จะมีนโยบายส่งเสริมการมีบุตร แต่ยังจำเป็นต้องมีมาตรการที่สอดคล้องกับความต้องการและข้อกังวลของประชาชน เช่น การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู การเพิ่มสวัสดิการสำหรับครอบครัว และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลี้ยงดูบุตรอย่างสมดุล การลดช่องว่างระหว่างความตระหนักรู้และการลงมือปฏิบัติจริงจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโครงสร้างประชากรไทย
ติดตามการรายงานสถานการณ์ประชากรไทยและผลสำรวจความเห็นประชากรไทยต่อนโยบายประชากรในประเด็น “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” ได้จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ 15 ม.ค. 2568 ทาง https://www.facebook.com/IPSRMAHIDOLUNIVERSITY