เปิดสาเหตุ เชื้อฮิวแมนเมทาพนิวโมไวรัส ระบาดหนักในจีน เตือนกลุ่มเสี่ยง ระวัง

จีนกำลังเผชิญกับการระบาดของไวรัสฮิวแมนเมทาพนิวโมไวรัสในมนุษย์ (Human Metapneumovirus) หรือ HMPV ในช่วงหน้าหนาว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก อายุต่ำกว่า 14 ปี จำนวนการติดเชื้อกำลังพุ่งสูงขึ้น หลังจากที่จีนเคยเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดของโควิด 19 สร้างความเสียหายไปทั่วโลกในปี 2020 และ 2021 มาแล้ว

ในส่วนของอาการผู้ติดเชื้อฮิวแมนเมทาพนิวโมไวรัสในมนุษย์  หรือ HMPV เป็นอย่างไร แล้วมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหนนั้น แม้ไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ก็ตาม ทางด้านศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ไวรัสฮิวแมนเมทาพนิวโมไวรัสในมนุษย์  ก่อให้เกิดอาการในระบบทางเดินหายใจคล้ายไข้หวัด โดยผู้ป่วยมักมีอาการไอ มีไข้ และคัดจมูก ซึ่งการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ HMPV ในจีน มีสาเหตุสำคัญมาจาก “ช่องว่างภูมิคุ้มกัน ” ในเด็ก เป็นผลมาจากมาตรการควบคุมโรคโควิด ที่เข้มงวด ทั้งการกักตัว การล็อกดาวน์ และการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้เด็กมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคทั่วไปน้อยลง รวมถึง HMPV จนส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่

องค์การอนามัยโลก (WHO) และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพยืนยันว่า HMPV เป็นไวรัสที่พบได้ทั่วไปในช่วงฤดูหนาว และการระบาดในครั้งนี้เป็นไปตามรูปแบบตามฤดูกาลที่คาดการณ์ไว้ ไม่ได้มีความผิดปกติแต่อย่างใด มักส่งผลกระทบรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แม้ว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องาได้รับการรักษาเฉพาะทาง และปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโดยตรง การรักษาจึงเน้นที่การบรรเทาอาการเป็นหลัก

การป้องกันการติดเชื้อ HMPV พุ่งเป้ากลุ่มเสี่ยง

การป้องกันการติดเชื้อ HMPV ทำได้โดยการล้างมือสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย และรักษาสุขอนามัยทางเดินหายใจที่ดี นักวิจัยกำลังศึกษาผลกระทบระยะยาวของการที่เด็กมีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคน้อยลงในช่วงโควิด ต่อการพัฒนาภูมิคุ้มกัน ปรากฏการณ์ช่องว่างภูมิคุ้มกันนี้ทำให้เกิดความกังวลและความจำเป็นในการพัฒนากลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสทั่วไปในกลุ่มประชากรที่เปราะบาง

ช่องว่างภูมิคุ้มกันอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพของเด็กทั้งในจีนและทั่วโลก ทำให้เด็กมีความเปราะบางต่อโรคทางเดินหายใจและโรคติดเชื้ออื่นๆ มากขึ้น อาจเกิดการระบาดของโรคทั่วไปที่บ่อยและรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขต้องรับภาระหนัก

นอกจากนี้ การติดเชื้อซ้ำในวัยเด็กอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ สุขภาพระบบทางเดินหายใจ และระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม ซึ่งอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพระหว่างประเทศต่างๆ มากขึ้น ระบบสาธารณสุขสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากช่องว่างภูมิคุ้มกันได้หลายวิธี

เพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อติดตามการระบาดของเชื้อโรคทั่วไป

การเฝ้าระวังสามารถทำได้โดยการจัดตั้งเครือข่ายการรายงานโรคที่มีประสิทธิภาพ ใช้เทคโนโลยีเช่น AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อตรวจจับแนวโน้มที่ผิดปกติในข้อมูลสุขภาพ และพัฒนาความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลและศูนย์วิจัยในการติดตามการแพร่กระจายของโรคอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

จัดรณรงค์ฉีดวัคซีนแบบมุ่งเป้าในกลุ่มเสี่ยง

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และบุคคลที่มีโรคประจำตัวเป็นขั้นตอนสำคัญ รวมถึงการให้บริการวัคซีนในพื้นที่ห่างไกลผ่านหน่วยเคลื่อนที่และการให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการฉีดวัคซีนเพื่อลดความลังเลใจในประชากร

ให้ความรู้ประชาชนเรื่องสุขอนามัยและการป้องกันโรค

การรณรงค์ผ่านสื่อสาธารณะ เช่น โทรทัศน์ สื่อออนไลน์ และกิจกรรมในชุมชน สามารถสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการล้างมือ การสวมหน้ากากอนามัย และการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปรับปรุงการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับเด็ก

การเพิ่มจำนวนคลินิกและศูนย์สุขภาพเฉพาะสำหรับเด็กในพื้นที่ที่ขาดแคลน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเทเลเมดิซีนในการให้คำปรึกษาและติดตามอาการ จะช่วยให้การดูแลสุขภาพเด็กมีความครอบคลุมมากขึ้น

จัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอสำหรับการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ

โรงพยาบาลควรมีเครื่องมือและยาเพียงพอ รวมถึงการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ให้พร้อมรับมือกับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจในจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่งเสริมการสัมผัสธรรมชาติอย่างเหมาะสม

การพาเด็กไปสัมผัสธรรมชาติ เช่น การเล่นในสวนสาธารณะหรือพื้นที่กลางแจ้ง สามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ได้ในระยะยาว

ดูแลด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย

 การส่งเสริมให้เด็กได้รับอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล รวมถึงการสนับสนุนให้มีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเล่นกีฬา สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการวิจัยผลกระทบระยะยาวของช่องว่างภูมิคุ้มกัน

มีเป้าหมายเพื่อศึกษาและจัดการกับผลกระทบของการลดลงหรือความไม่สม่ำเสมอของภูมิคุ้มกันในประชากร ซึ่งมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาดในอนาคต ความร่วมมือนี้ต้องอาศัยการพัฒนาเครือข่ายนักวิจัย การแบ่งปันข้อมูลและเทคโนโลยี การกำหนดเป้าหมายการวิจัยที่ชัดเจน และการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่นองค์การอนามัยโลก และสหประชาชาติ เพื่อพัฒนาแบบจำลองคาดการณ์ผลกระทบและปรับปรุงการฉีดวัคซีนให้เหมาะสมกับภูมิภาคต่างๆ

การวิจัยจะช่วยลดความเสี่ยงโรคระบาด เสริมสร้างความรู้ และพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต และในด้านการวิจัยและพัฒนา นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาชีววิทยาระดับโมเลกุลและกลไกการก่อโรคของ HMPV เพื่อพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัส โดยเฉพาะการพัฒนาวัคซีนที่มุ่งเป้าที่โปรตีนฟิวชัน (F) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการติดเชื้อ

 มีการทดสอบแอนติบอดีโมโนโคลนอล เพื่อต่อต้านไวรัสและลดความรุนแรงของโรค รวมถึงการนำเทคโนโลยี mRNA ที่ใช้ในวัคซีนโควิด มาประยุกต์ใช้ การวิจัยเหล่านี้ดำเนินการผ่านความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและบริษัทยา โดยมีการทดลองทางคลินิกในระยะเริ่มต้นแล้ว

แม้มีการระบาดของ HMPV ในจีน แต่สถานการณ์แตกต่างจากโควิด อย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง ยังไม่มีการใช้มาตรการฉุกเฉิน และองค์การอนามัยโลก ไม่ได้ออกคำแนะนำเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านการเดินทางหรือการค้า อย่างไรก็ตาม ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรเฝ้าระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด