บทเรียนความผิดพลาด นโยบายการเงิน ก่อนวิกฤติปี 40 ทำไทยสะดุด

ประเทศไทยเคยฝันจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาค ก่อนวิกฤติปี 2540 แต่ไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินขึ้นมาก่อน ทุกอย่างจึงสะดุดลง หากสามารถเรียนรู้จากบทเรียนจากความผิดพลาด ในการดำเนินนโยบายการเงินก่อนวิกฤติปี 40 ได้ดีพอและปิดจุดอ่อนให้ได้ทั้งหมด เป้าหมายในการก้าวสู่ศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค เป็นสิ่งที่ไม่ไกลเกินฝัน จริงหรือ?

“รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (DEIIT-UTTC) ได้สรุปบทเรียนจากวิกฤติการณ์เศรษฐกิจการเงินปี 2540 ประกอบไปด้วย 1. การพึ่งพิงเงินทุนจากต่างประเทศในอัตราสูงไม่ใช่ปัญหา  หากมีการบริหารจัดการที่ดีไม่ให้มีสัดส่วนของเงินกู้ต่างประเทศระยะสั้นมากเกินไป เงินทุนที่ไหลเข้าก่อนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปี  2540 ในช่วง 2-3 ปี มีสัดส่วนของการลงทุนโดยตรงน้อย การลงทุนเข้ามาถือหุ้นร่วมกิจการก็น้อย เมื่อเทียบกับเงินไหลเข้าในรูปของเงินกู้และที่สำคัญเงินกู้เหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่งเป็นเงินกู้ระยะสั้น ทางด้านสถาบันการเงินก็ต้องมีระบบการปล่อยสินเชื่อที่มีมาตรฐานและโปร่งใสไม่ดีพอ

2. ผู้กำหนดนโยบายการเงินไม่ยืดหยุ่น ยึดมั่นถือมั่นต่อการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่มากเกินไปทั้งที่ระบบนี้ต้องปรับเปลี่ยนตั้งแต่การเห็นสัญญาณจากการขาดดุลบัญชีสะพัดจำนวนมหาศาล ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป เช่นเดียวกับในขณะนี้ที่ ผู้กำหนดนโยบายการเงินใช้มาตรการการเงินเข้มงวดเกินไปในภาวะเศรษฐกิจโตต่ำ เงินเฟ้อต่ำ ถือเป็นการขาดการยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นก่อนวิกฤติปี 2540  

3. การเปิดเสรีการเงินผ่านการเปิดเสรีวิเทศธนกิจ มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในระบบสถาบันการเงินไทยจำนวนมาก ทำให้สถาบันการเงินในประเทศมีการขยายสินเชื่อในอัตราเร่ง คุณภาพสินเชื่อเริ่มลดลง อัตราส่วนระหว่างการปล่อยสินเชื่อต่อปริมาณเงินฝากสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เพิ่มจากระดับต่ำกว่า 1 ในปี  2533 สูงขึ้นจนถึงระดับ 1.35 เมื่อสิ้นไตรมาสสองของปี  2538

4. ช่องว่างระหว่างระดับการออมและระดับการลงทุนและ การลงทุนเกินตัวทำให้ต้องอาศัยเงินออม (กู้เงิน) จากต่างประเทศ 5. การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย) ขณะที่ยังคงใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่พร้อมกับยังมีการเติบโตร้อนแรงอยู่ในภาคการลงทุนส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศยิ่งสร้างแรงผลักดันให้กู้ยืมเงินจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้นและดึงดูดเงินทุนไหลเข้ามากขึ้นในรูปเงินกู้ระยะสั้น

6. สภาพคล่องที่ผ่อนคลายและปริมาณเงินขยายตัวในระดับสูงในช่วงก่อนเกิดวิกฤติผสานเข้ากับความร้อนแรงของการลงทุนและการเก็งกำไรทำให้ราคาที่ดินและหลักทรัพย์พุ่งสูงขึ้นกว่าปัจจัยพื้นฐานมากจนเกิดปัญหาฟองสบู่ 7. ขาดเสถียรภาพทางการเมือง มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยหลังการรัฐประหารปี 2534 การผสานนโยบายการคลังและการเงินเพื่อหยุดยั้งภาวะฟองสบู่ไม่มีประสิทธิผล

8. เงินบาทของไทยแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานเป็นเป้าหมายของนักเก็งกำไรในการโจมตีค่าเงิน และ ยังมีความผิดผลาดในการปกป้องค่าเงินบาท การโจมตีครั้งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2540 การปกป้องค่าเงินบาทที่ผิดผลาดและไม่เท่าทันต่อเกมการเงินโลกทำให้ทุนสำรองสุทธิลดลงจากระดับ 24.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  และ ในที่สุดต้องถูกตลาดการเงินกดดันให้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 ก.ค. 2540

9. ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่เมื่อมีสภาวะที่ปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดจำกัดอุปสงค์รวมได้อย่างมีประสิทธิผล เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยภายในประเทศสูง ผู้ลงทุนจะหันไปกู้เงินจากต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า

10. เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงปลายทศวรรษที่ 2530 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะบรรเทาลงและไม่เป็นเป้าถูกโจมตีค่าเงินก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้เชื่อว่าประเทศสามารถจ่ายหนี้ได้ในอนาคต และสามารถรักษาระดับเงินทุนไหลเข้าเพื่อชดเชยการขาดดุลได้

11. การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยหลักใหญ่แล้วเกิดขึ้นจากการใช้ปัจจัยการผลิตมากขึ้นมิใช่มาจากการยกระดับผลิตภาพและเทคนิคการผลิต ประเทศไทยยังมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อ่อนมากเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วและปัจจุบันก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในเอเชียด้วยกัน ทั้งในแง่ของจำนวนนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำนวนนักวิจัย งบประมาณเพื่อการวิจัย.