ทาสแมวระวัง!! ไข้หวัดนกระบาดรัฐมิชิแกน สหรัฐฯ แมวบ้าน ติดเชื้อไม่รอด

ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1, H5N5 และ H9N2 กำลังระบาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1 แพร่กระจายกว้างขวางที่สุดในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย แอฟริกา ยุโรป และอเมริกาเหนือ ขณะที่ H5N5 กระจายตัวจำกัดกว่า พบมากในแถบยุโรปตอนเหนือ และล่าสุดพบในแคนาดา ในนิวฟันด์แลนด์และลาบราดอร์ รวมถึงในสหราชอาณาจักรที่นอร์ฟอล์ก ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และกรีนแลนด์ ส่วน H9N2 แพร่ระบาดหนักในเอเชีย โดยเฉพาะจีน แถบมณฑลกวางตุ้งและหูหนาน รวมถึงในบังกลาเทศ เวียดนาม และปากีสถาน

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อ้างอิงข้อมูลศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ได้ตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกชนิดรุนแรง A (H5N1) สายพันธุ์ clade 2.3.4.4b, genotype B3.13 ในแมวบ้านที่เลี้ยงภายในบ้านเท่านั้นสองตัวในรัฐมิชิแกน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 โดยแมวทั้งสองตัวแสดงอาการป่วยทางระบบหายใจและระบบประสาทอย่างรุนแรง นำไปสู่การสอบสวนโรคโดยกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งรัฐมิชิแกนและเขตสุขภาพมิด-มิชิแกน

กรณีแรกเป็นแมวเพศเมียทำหมันพันธุ์ขนสั้นอายุ 5 ปี อาศัยอยู่ในบ้านที่มีแมวอีกสองตัวและสมาชิกครอบครัว 4 คน เริ่มแสดงอาการเบื่ออาหาร ไม่ทำความสะอาดตัว สับสน และซึม ตามด้วยอาการทางระบบประสาทที่แย่ลงเรื่อยๆ แมวได้รับการรักษาที่คลินิกสัตวแพทย์ท้องถิ่นในวันที่สองของการป่วย และถูกส่งต่อไปยังศูนย์การแพทย์สัตวแพทย์มหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกนในวันที่สี่

เมื่อเข้ารับการตรวจพบอาการทางระบบประสาทรุนแรง รวมถึงภาวะง่วงซึม ความผิดปกติของเส้นประสาทสมอง และการทำงานผิดปกติของขาทั้งสี่ข้าง ก่อนจะต้องถูกยุติการรักษาเนื่องจากอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว ผลการตรวจชิ้นเนื้อสมองและสวอบจมูกยืนยันการติดเชื้อ HPAI A(H5N1)

ที่น่าสนใจคือแมวตัวที่สองในบ้านเดียวกันเริ่มแสดงอาการน้ำตาไหล มีน้ำมูกเป็นหนอง หายใจเร็ว และเบื่ออาหาร 4 วันหลังจากแมวตัวแรกป่วย สัตวแพทย์ขอให้เจ้าของเก็บตัวอย่างจากแมวเนื่องจากอาการป่วยที่รุนแรงเกินกว่าจะเคลื่อนย้ายมาคลินิก แต่เจ้าของไม่ได้ส่งตัวอย่างมาตรวจ อย่างไรก็ตามแมวตัวนี้มีอาการดีขึ้นเองหลังจากนั้น 11 วัน ส่วนแมวตัวที่สามไม่แสดงอาการป่วยและผลตรวจเป็นลบ

ส่วนกรณีที่สองพบในแมวพันธุ์เมนคูนอายุ 6 เดือน จากครัวเรือนที่สอง ถูกนำส่งศูนย์การแพทย์สัตวแพทย์โดยตรงด้วยอาการทางระบบประสาทที่แย่ลงอย่างรวดเร็ว เบื่ออาหาร ซึม และมีอาการบวมที่ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณตาและจมูก การตรวจร่างกายพบอาการง่วงซึม ความผิดปกติของเส้นประสาทสมอง การทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อ และบวมบริเวณตาและจมูก แมวตัวนี้เสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มแสดงอาการ ผลการตรวจสวอบจมูกยืนยันการติดเชื้อสายพันธุ์เดียวกัน

การสอบสวนโรคพบว่าเจ้าของแมวทั้งสองราย ทำงานเกี่ยวข้องกับฟาร์มโคนมในเขตที่มีการระบาดของเชื้อ โดยเจ้าของรายแรกทำงานในฟาร์มโคนม แม้จะไม่ได้สัมผัสสัตว์โดยตรงแต่ทำงานในพื้นที่ฟาร์ม และมีการรายงานว่าแมวจำนวนมากในฟาร์มเสียชีวิตในช่วงก่อนหน้า เจ้าของรายงานว่าจะถอดเสื้อผ้าและรองเท้าที่ใช้ทำงานไว้นอกบ้านก่อนนำเข้ามาเก็บในที่ที่แมวเข้าไม่ถึง

ส่วนเจ้าของรายที่สองทำงานขนส่งน้ำนมดิบระหว่างฟาร์ม มีประวัติถูกน้ำนมดิบกระเด็นใส่ใบหน้าและตาบ่อยครั้ง และไม่ได้สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลขณะปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าแมวที่เสียชีวิตชอบกลิ้งเกลือกกับเสื้อผ้าที่เจ้าของใส่ทำงาน ซึ่งต่างจากแมวอีกตัวในบ้านที่ไม่มีพฤติกรรมนี้และไม่แสดงอาการป่วย

จากเหตุการณ์นี้ CDC ได้ออกคำแนะนำสำหรับสัตวแพทย์ในรัฐที่พบการระบาดของ HPAI A(H5N1) ในปศุสัตว์ ให้สอบถามข้อมูลการประกอบอาชีพของสมาชิกในครัวเรือนของสัตว์ป่วย โดยเฉพาะเมื่อพบแมวที่มีอาการทางระบบหายใจหรือระบบประสาท ให้สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างเหมาะสมเมื่อตรวจรักษา ประกอบด้วยชุด Tyvek ถุงครอบรองเท้า ถุงมือไนไตรล์ หมวกคลุมศีรษะ และหน้ากากอนามัย และให้รายงานกรณีสงสัยไปยังหน่วยงานสาธารณสุขและสุขภาพสัตว์ทั้งในระดับรัฐและระดับประเทศ เพื่อร่วมกันสอบสวนและป้องกันการแพร่ระบาดตามแนวทาง One Health ที่คำนึงถึงสุขภาพของทั้งคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม.